วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

“หมึกกุ้งผจญเพลิง” เมนูกินเล่นเพลินๆ

       เอาอีกแล้ว... ไข้หวัดนกเริ่มกลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้หลายคนเลยเลือกวิธีปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการงดกินเนื้อไก่ไปอีกสักระยะหนึ่ง “กุ๊กเล็ก” เลยนำเมนูที่ไม่ต้องยุ่งกับบรรดาสัตว์ปีกอย่าง “หมึกกุ้งผจญเพลิง” ที่ฟังชื่อแล้วดูหรูหรา แต่จริงๆ แล้วทำง่ายนิดเดียวมานำเสนอ
     
       เครื่องปรุง
       

       ปลาหมึก 1/2 กิโลกรัม
       กุ้งชีแฮ้สด 300 กรัม
       ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ
       พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
       ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
       เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
       น้ำมันงา 2 ช้อนชา
       แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
       

       วิธีทำเริ่มจาก ล้างปลาหมึกให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นยาวประมาณ 2 นิ้ว นำไปลวกในน้ำเดือดจนงอตัวจึงตักขึ้นพักไว้ก่อน แล้วจึงไปจัดการกับกุ้ง ล้างให้สะอาด ผ่าหลังให้เรียบร้อยแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นผสมพริกไทย เกลือป่น ซีอิ้วขาว น้ำมันงา และแป้งข้าวโพดคนให้เข้ากัน ใส่ไข่ขาวและเนื้อกุ้งสับลงไปผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาเนื้อกุ้งที่ผสมเครื่องปรุงเรียบร้อยแล้วนั้นใส่เข้าไปในชิ้นปลาหมึกที่ม้วนงออยู่
     
       บรรจุกุ้งใส่ในปลาหมึกเรียบร้อยแล้ว เอาชิ้นปลาหมึกนั้นชุบไข่ขาว และคลุกด้วยขนมปังป่นอีกที เอาลงไปทอดในน้ำมันไฟปานกลางจนสุกเหลืองแล้วตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน กินกับน้ำจิ้มไก่อร่อยดี
     
       เรียบร้อยแล้วกับ "หมึกกุ้งผจญเพลิง" เมนูกินเล่นเป็นอาหารว่าง หรือจะกินเป็นกับข้าวก็ได้ไม่ผิดกติกา

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

เคี้ยวหนึบหนับ กับ “หมึกสอดไส้”

       รู้นะว่าตอนนี้หลายๆ คนกำลังนั่งนับถอยหลังอยากให้เวลาเดินเร็วๆ เพื่อให้ถึงเทศกาลปีใหม่เสียที “กุ๊กเล็ก” เองก็เป็นคนหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แต่ก็ต้องอดใจรอกันอีกเล็กน้อย แค่ไม่กี่วันเท่านั้นก็จะถึงช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาแห่งวันหยุด และช่วงเวลาแห่งการส่งของขวัญแล้ว
     
       กลับมาที่เรื่องกินของเรากันดีกว่า วันนี้ “กุ๊กเล็ก” มีเมนูเด็ด “หมึกสอดไส้” มาฝาก ไปดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลยดีกว่า
     
       เครื่องปรุง
       

       ปลาหมึกสด 500 กรัม
       เนื้อปลากรายขูด 200 กรัม
       รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
       กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
       พริกไทย 1 ช้อนชา
       เกลือ 1 ช้อนชา
       ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
       ไข่ไก่ 1 ฟอง
       ผงขนมปังป่น 1/4 ถ้วย
       

       วิธีทำ ขั้นแรกนำเนื้อปลากรายขูดมาผสมกับ กระเทียม พริกไทย และรากผักชีที่โขลกละเอียดแล้วให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย นวดให้เหนียวเข้าเนื้อ จากนั้นมาจัดการกับปลาหมึก ล้างให้สะอาด ลอกเยื่อกับเส้นแข็งกลางตัวและดึงหนวดออก เอาเนื้อปลากรายใส่เข้าไปในตัวปลาหมึกจนเต็ม แล้วนำไปนึ่งใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที เสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นนำปลาหมึกไปชุบไข่ แล้วคลุกกับผงขนมปังป่น ลงทอดในน้ำมันร้อนๆ จนเหลืองกลิ่นหอมฉุยน่ากิน จะกินคู่กับน้ำจิ้มไก่หรือซอสพริกก็อร่อยได้เหมือนกัน
     

“หมูทอดสาหร่ายยัดไส้” ทำง่าย กินง่าย

       สงกรานต์ก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี สำหรับ “กุ๊กเล็ก” ปีนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวสงกรานต์ที่ไหน แต่ใช้เวลาในวันหยุดเข้าครัว หยิบโน่น ผสมนี่ จนได้เมนูประยุกต์ขึ้นมา 1 อย่าง ในชื่อ “ หมูทอดสาหร่ายยัดไส้” ซึ่งเป็นสูตรที่ประยุกต์มาจากอาหารญี่ปุ่น โดยเรามาทำเป็นอาหารว่าง เอาไว้กินเพื่อให้ท้องไม่ว่าง
     
       สำหรับส่วนผสมของ “ หมูทอดสาหร่ายยัดไส้” ก็มี
     
       หมูสับ 1 ถ้วยตวง (ใช้หมูสับที่ผสมสาหร่ายในตัว,หรือจะใช้หมูสับธรรมดาก็ได้)
       ไข่ไก่ 2 ฟอง
       แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
       เกล็ดขนมปัง 1 ถ้วยตวง
       ผักที่คุณชอบ หั่นเป็นคำ ประมาณ 10 -15 ชิ้น
       พริกไทยป่น ครึ่ง ช้อนชา
       ซีอิ๊วขาว ประมาณ 1 ช้อนชา

     
       เมื่อเตรียมเครื่องปรุงพร้อมแล้ว ก็นำหมูบดมาปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและพริกไทยป่น คลุกเคล้ากันให้ทั่ว จากนั้นนำผักที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น บล็อกโคลี่,แครอท ,ข้าวโพดอ่อน หรือผักอื่นๆ นำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ
     
       เสร็จแล้วก็นำหมูมาปั้นเป็นก้อนกลม ยัดไส้ผักลงไป 1 ชิ้นให้มิด นำหมูที่ปั้นไปคลุกแป้งให้ทั่ว แล้วนำไปชุบไข่ไก่ จากนั้นจึงคลุกด้วยเกล็ดขนมปังเป็นขั้นตอนสุดท้าย
       
       จากนั้นตั้งกระทะน้ำมันให้เดือด นำหมูที่คลุกแล้วลงมาทอดไฟอ่อนๆ เพื่อให้หมูได้สุกอย่างทั่วถึง โดยอาจจะใช้หม้อแทนกระทะ เพื่อให้เวลาทอดน้ำมันจะเยอะกว่ากระทะแบนๆ เมื่อน้ำมันท่วมหมูก็จะทำให้หมูสุกทั่วทั้งก้อนเร็วขึ้น ทิ้งไว้สักครู่เมื่อสุกแล้วจะเป็นเนื้อสีเหลืองทอง เวลาปั้นก็อย่าปั้นให้ใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้หมูสุกช้า เพียงแค่นี้คุณก็จะได้สนุกกับการปั้นและคลุก แถมยังได้ของว่างที่หนักท้องแทนอาหารมื้อนั้นเลยทีเดียว ......
       
       ง่ายๆหมูๆอย่างนี้จะรอช้าอยู่ใยรีบไปเข้าครัวกันดีกว่า...อ้อ..อย่าลืมจิ้มหมูทอดสาหร่าย กับซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศเพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้นด้วยหละ.....

“หมูบดผัดมะเขือยาว”กินดีมีประโยชน์

“หมูบดผัดมะเขือยาว”กินดีมีประโยชน์
       งดกินไก่...งดกินไก่...งดกินไก่...
     
       ช่วงนี้ไปไหน มาไหน “กุ๊กเล็ก”เห็นมีแต่คนท่องคาถา “งดกินไก่” กันเต็มบ้านเต็มเมือง
     
       ก็อย่างที่รู้ๆกันแหละว่า เจ้าโรคไข้หวัดนก มันทำเอาวงการไก่บ้านเราเจ๊งกันระนาว
     
       ใครที่ชอบกินไก่ กินไข่ ช่วงนี้ก็น่าจะระงับความอยากไว้ชั่วคราวรอให้สถานการณ์ไข้หวัดนกมันผ่านพ้นไปก่อน
     
       แต่ถ้าใครอดใจไม่ไหวก็ขอให้ทำให้มันสุกร้อยเปอร์เซ็นต์
     
       ซึ่งจะว่าไปการกินอาหารสุกนี่ไม่ใช่เฉพาะแค่ไก่เท่านั้น แต่ว่ากับการกินอาหารทุกอย่างก็ควรทำให้มันสุกเสียก่อน ก่อนที่จะกิน เพราะเมื่อกินอาหารสุกแล้วเราก็จะเป็นสุข เนื่องจากในทุกวันนี้อาหารทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น หมู เนื้อ ไก่ กุ้ง ปลา ผัก ล้วนต่างก็มีสารตกค้างอยู่เพียบไปหมด
     
       อย่างกับเมนูในมื้อนี้ ที่ “กุ๊กเล็ก”นำมาเสนอ ความอร่อยของมันก็คือ ต้องทำให้สุกและใช้ไฟแรง เพราะว่า มันคือ “หมูบดผัดมะเขือยาว” ซึ่งเจ้ามะเขือยาวนั้น ถ้าทำสุกได้ที่ก็จะกิน นุ่ม หวาน อร่อยมาก
     
       โดยเจ้ามะเขือยาวนั้นถ้าทำเป็นไม่เพียงแค่อร่อย แต่ยังมีคุณค่าอาหารอีกด้วย เนื่องจากมีแร่ธาตุ วิตามิน และสารประกอบของแคลเซียมที่ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน นอกจากนี้ในมะเขือยาวยังมีเส้นใย ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ
     
       เมื่อรู้ประโยชน์ของมะเขือยาวแล้วก็มาเตรียมเครื่องปรุงสำหรับเมนูนี้กันดีกว่า โดยเครื่องปรุงก็ประกอบไปด้วย
     
       เนื้อหมูบด ½ ถ้วยตวง
       มะเขือยาว 2 ผล
       ใบโหระพา ¼ ถ้วยตวง
       พริกขี้หนู 5-6 เม็ด
       กระเทียม 5 กลีบ
       เต้าเจี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
       น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำเปล่า ½ ถ้วยตวง
     
       เอาหละ เมื่อได้เครื่องปรุงพร้อมก็มาลงมือทำ “หมูบดผัดมะเขือยาว” กันเลย
     
       ขั้นแรกก็เริ่มจาก ล้างมะเขือยาวให้สะอาด ผ่าครึ่งกลาง และผ่าตามยาว หั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ
     
       จากนั้นนำพริกขี้หนู กระเทียม โขลกให้เข้ากัน เอาแค่พอแหลก
     
       เสร็จแล้วนำไปผัดกับน้ำมันด้วยไฟแรงจนสุกหอม ใส่หมูบด ผัดให้เนื้อหมูกระจายเป็นชิ้นเล็ก
     
       ตามด้วยการใส่มะเขือยาวพร้อมน้ำลงไป ปิดฝากระทะจนมะเขือยาวสุก จากนั้นเปิดฝา เหยาะเต้าเจี้ยว น้ำตาลทราย น้ำมันหอย ผัดให้เข้ากัน ใส่ใบโหระพา ผัดเบาๆอีกครั้ง เสร็จสรรพตักใส่จาน ยกเสิร์ฟร้อนๆ เด็ดทั้งหมูบด ทั้งมะเขือยาว ส่วนน้ำผัดนี่คลุกข้าวกินก็เด็ดไม่แพ้กัน

“หมูมะนาว” รสเด็ด แซบหลายถึงใจ

หมูมะนาวรสเด็ด แซบหลายถึงใจ
       แหม!!! ช่วงนี้อากาศบ้านเราชักเริ่มเย็นลงกับเขาบ้างแล้ว ค่อยสมกับเข้าช่วงหน้าหนาวกันสักหน่อย แต่ว่าจะหนาวหรือไม่หนาวไม่ใช่เหตุผลสำคัญสำหรับคนชอบเข้าครัวทำอาหารอยู่หน้าเตาสักเท่าไหร่ อย่าง “กุ๊กเล็ก” นะชอบเสียจริงกับการอยู่หน้าเตาร้อนๆ ทำอาหารอร่อยๆ ได้ทานกัน
     
       อย่างเมนูเด็ดที่ชื่อว่า “หมูมะนาว” ที่ “กุ๊กเล็ก” นำมาเสนอในครั้งนี้ ขอบอกว่าต้องยืนอยู่หน้าเตาร้อนๆ กันเสียหน่อย ส่วนรสชาติอาหารไม่บอกพูดถึงแซบเผ็ดร้อนถึงใจเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะยิ่งอากาศหนาวๆ อย่างนี้ กินเมนูนี้คู่กับเครื่องดื่มเย็นๆ อย่างเบียร์สักแก้ว อร่อยเด็ดเข้ากันอย่าบอกใคร
     
       เอาเป็นว่าอย่าให้เสียเวลามาลงมือทำอาหารกันเลยดีกว่า ซึ่งเครื่องปรุงที่จะต้องเตรียมก็ไม่ยุ่งยากมีดังต่อไปนี้
     
       เนื้อหมูตรงส่วนของคอหมู (เอาแบบติดมันนิดๆ)
       กระเทียมปอกเปลือก 5 กลีบ
       พริกขี้หนูสวน 7 เม็ด
       ใบสะระแหน่ 4-5 ใบ
       น้ำกระเทียมดอง ครึ่งช้อนชา
       น้ำมะนาว ครึ่งช้อนชา (หรือจะมากกว่านี้ถ้าชอบเปรี้ยว)
       น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว (พอประมาณกะเอานิดหน่อย)
       เกลือและพริกไทยนิดหน่อย
     
       เมื่อเตรียมเครื่องปรุงเสร็จแล้วก็มาถึงขั้นตอนการทำ ก่อนอื่นนำคอหมูมาหมักกับซีอิ้วขาว เกลือ พริกไทย หมักทิ้งไว้สักพัก แล้วก็นำมาย่างให้เนื้อหมูพอสุกแบบมันหยดนิดหน่อย แล้วก็นำคอหมูย่างมาแล่เป็นชิ้นบางๆ พอคำแล้วพักไว้ก่อน เพื่อมาทำน้ำจิ้มราด
     
       ส่วนวิธีการทำน้ำจิ้มก็เริ่มจากการนำพริกขี้หนูมาโขลกกับกระเทียมและน้ำตาลทรายให้ละเอียด แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำกระเทียมดอง เป็นว่าเสร็จได้น้ำจิ้มรสเด็ด ก็นำมาราดบนคอหมูย่างที่เตรียมไว้แล้ว และโรยหน้าด้วยสะระแหน่อีกนิดเพิ่มความหอม แค่นี้ก็จะได้หมูมะนาวรสชาติแซบหลาย ถูกใจคนชอบอาหารรสจัด
     
       เห็นที “กุ๊กเล็ก” ต้องขอตัวไปกิน “หมูมะนาว” แกล้มกับเบียร์เย็นๆ สักแก้วก่อนละนะ อุ๊ย!...น้ำลายจะไหล

“หมูสะระแหน่” รสแซ่บ ซี๊ดซ๊าด !!!

หมูสะระแหน่ รสแซ่บ กินซี๊ดซ๊าดปาก
       แม้ว่าวันนี้จะยังไม่ถึงวันปีใหม่ แต่ก็ถือว่าได้ฤกษ์อวยชัยให้พรกันแล้ว
     
       สำหรับปีนี้“กุ๊กเล็ก”ก็ขออวยพรให้มิตรรักนักกินทั้งหลาย อย่าได้เจ็บ อย่าได้จน คิดอะไรก็ขอให้ทำได้อย่างที่คิด
     
       และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการดื่มเฉลิมฉลองปีใหม่ มื้อนี้ “กุ๊กเล็ก” ก็เลยเลือกเมนูกับแกล้มธรรมดาๆที่ไม่ธรรมดา มานำเสนอแก่แฟนๆคอลัมน์
     
       หมูสะระแหน่ คือเมนูที่เราส่งเข้าประกวดในช่วงปีใหม่ สำหรับเครื่องปรุงก็ประกอบด้วย
     
       เนื้อหมูตรงส่วนคอ 4 ขีด
       กระเทียมโทนแกะเปลือกสับหยาบๆ ¼ ถ้วยตวง
       น้ำมะนาว(น่าจะคั้นเอง) ¼ ถ้วยตวง
       น้ำปลาดี ¼ ถ้วยตวง
       น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
       พริกขี้หนูหั่นฝอย 8-10 เม็ด
       สะระแหน่,แตงกวา,มะระ
     
       เมื่อได้เครื่องปรุงแล้วก็ลงมือทำกันเลยดีกว่า?!?
     
       เริ่มแรกหั่นเนื้อหมูชิ้นขนาดพอคำ ลวกแค่สุกพองาม
     
       จากนั้นก็เป็นการทำน้ำปรุง โดยใส่น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว คลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยให้รสออกเปรี้ยวนำเล็กน้อย เมื่อได้ที่ก็ใส่พริกขี้หนูลงไป
     
       นำแตงกวาหั่นเป็นแผ่นบางๆ ส่วนมะระให้เอาไส้ออก แล้วหั่นตามขวางเป็นแว่นๆล้างน้ำเกลือเพื่อช่วยลดความขม
     
       เสร็จสรรพนำน้ำปรุงราดบนเนื้อหมูแล้วคลุกให้เข้ากัน จากนั้นโรยด้วยกระเทียม ใบสะระแหน่ โดยเสิร์ฟ แตงกวามะระเป็นผักแกล้มเพื่อใช้ความจืดและขมสยบความเผ็ด ก็เป็นอันได้หมูสะระแน่ ที่ให้รสแซ่บ กินจี๊ดจ๊าด ซี๊ด ซ๊าด ปาก
     
       ทั้งนี้ใครจะกินหมูสะระแหน่เป็นกับแกล้มหรือกับข้าว ก็ถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ส่วนใครจะกินหมูสะระแหน่ กับคนสาระแน อันนี้ก็คงต้องทำใจในการกินนิดหน่อย!?!

ต้อนรับปีหมูกับ “หมูสับปะรด”

       เพิ่งจะเริ่มต้นปีใหม่ไม่ทันไรกรุงเทพฯก็วุ่นวายด้วยเรื่องระเบิดมีทั้งคนเจ็บคนตาย เห็นแล้วก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ หรือปีนี้จะเป็นปีหมูดุอย่างเขาว่ากันจริงๆ ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะรีบหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยไว ส่วน "กุ๊กเล็ก"ก็ขอแก้เคล็ดปีหมูด้วยการกินหมูซะเลย จากหมูดุจะได้กลายเป็นหมูทอง ด้วยเมนู "หมูสับปะรด"
    
       เครื่องปรุง
       

       เนื้อหมูส่วนสันนอก 1/2 กิโลกรัม
       เกลือป่น 1 ช้อนชา
       พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
       ผงปรุงรส 1/4 ช้อนชา
       ไข่ไก่ตีพอแตก 1 ฟอง
       สับปะรด 1/2 ผลเล็ก
       ผงขนมปังป่น 1/2 ถ้วยตวง
       น้ำมันพืช
       

       วิธีทำ
    
       เริ่มจากนำเนื้อหมูมาหั่นเป็นแนวขวางให้หนาประมาณ 2 เซนติเมตร จะได้เนื้อหมู 4 ชิ้น แต่ละชิ้นกรีดตรงกลางชั้นให้เป็นร่อง จากนั้นผสมเกลือ พริกไทย และผงปรุงรสเข้าด้วยกัน จากนั้นนำ สับปะรดมาปอกแล้วฝานเป็นแว่นแบ่งครึ่ง คว้านเอาแกนออก แล้วสอดชิ้นสับปะรดใส่ร่องเนื้อหมูที่กรีดเตรียมไว้ ใช้ไม้กลัดหรือไม้จิ้มฟันเสียบปากร่องอย่าให้ชิ้นสับปะรดหลุดได้
    
       ตั้งกระทะใส่น้ำมันมากๆใช้ไฟปานกลาง เมื่อน้ำมันร้อนนำชิ้นหมูลงชุบไข่ แล้วเกลือกด้วยผงขนมปังป่น ทอดจนเนื้อหมูสุกและเหลืองดีทั้ง 2 ด้าน ตักขึ้น ให้สะเด็ดน้ำมันกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆหรือเสิร์ฟกับมันฝรั่งทอดแบบเฟรนช์ฟรายก็ได้

กลมกล่อม หอมมันกับ หลนเต้าเจี้ยว

หลนเต้าเจี้ยว รสชาตกลมกล่อมหอมกะทิ
       ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับมหกรรมกินไก่โชว์จากนายกฯทักษิณ ที่งานนี้ขนทั้งดาราและ ส.ส.อีกเพียบ มาช่วยกันเพิ่มความมั่นใจให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ด้วยการกินไก่โชว์ที่ท้องสนามหลวง คาดว่างานนี้คงจะเพิ่มความมั่นใจให้ชาวไทยให้หันกลับมากินไก่กันอีกครั้ง หลังจากที่หวาดกลัวจนแทบจะไม่มองหน้ากัน(ไก่)ไปเลย
     
       เป็นห่วงก็แต่ท่านนายกฯเท่านั้น ที่เสร็จงานนี้แล้วไม่รู้ว่าน้ำหนักจะพุ่งพรวดไปถึงเท่าไหร่ เพราะเดินสายกินไก่โชว์บ่อยเหลือเกิน อีกอย่างคอเรสเตอรอลก็ไม่เข้าใครออกใครด้วย
     
       เมนู กุ๊กเล็ก”มื้อนี้ เลยขอสวนทางกับกระแสซะหน่อย โดยเราจะมาทำ “หลนเต้าเจี้ยว”ที่นอกจากจะเป็นอาหารไทยๆที่คุ้นลิ้นกันเป็นอย่างดีแล้ว ยังจัดได้ว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากเต้าเจี้ยวขาวและเนื้อหมูบด กินกับผักสดต่างๆที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย
     
       อารัมภบทกันมามากแล้ว เรามาเตรียมเครื่องปรุงกันดีกว่า
     
       เนื้อหมูบด ½ ถ้วยตวง
       เต้าเจี้ยวขาวโขลกละเอียด ¼ ถ้วยตวง
       กะทิ 1 ½ ถ้วยตวง
       พริกชี้ฟ้าเขียว แดง เหลือง หั่นแว่น อย่างละ 1 เม็ด
       ผักชีเด็ดเป็นใบ 1 ต้น
       หอมแดงซอย ¼ ถ้วยตวง
       น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ
       ผัดสด เช่น มะเขือเปราะ ขมิ้นขาว ถั่วฟักยาว แตงกวา หัวปลี
     
       เตรียมเครื่องปรุงเสร็จแล้ว จะรอช้าอยู่ใย เรามาลงมือทำกันเลย
     
       ขั้นแรก ตั้งหม้อกะทิให้เดือดด้วยไฟกลาง ใส่เต้าเจี้ยวคนให้เข้ากัน รอให้เดือดอีกครั้งจึงใส่เนื้อหมูคนให้กระจายทั่วๆ ใส่หอมแดง
     
       จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกและน้ำตาล คนให้เข้ากัน ใส่พริกชี้ฟ้า รอจนเดือดอีกครั้งแล้วยกลง
     
       พอสำเร็จเสร็จสรรพตักใส่ถ้วย โรยใบผักชี รับประทานกับผักสดต่างๆที่เตรียมไว้
     
       เพียงเท่านี้ก็จะได้ “หลนเต้าเจี้ยว”รสชาติกลมกล่อม ที่เอาไว้ราดข้าวสวยร้อนๆ ก็อิ่มท้องสบายๆไปอีกหนึ่งมื้อ

“หลนเนื้อเค็ม” อร่อย หอมมัน

       ด้วยความที่คนไทยเราช่างคิดช่างทำในการปรุงอาหาร จึงทำให้เรามีเมนูเด็ดๆ ให้ลิ้มลองอย่างหลากหลาย
    
       ก็แค่ “การหลน” อย่างเดียว ก็สามารถดัดแปลงของกินธรรมดาๆให้น่ากินขึ้นมาได้ทันใด อย่างเช่น หลนเต้าเจี้ยว หลนปลาร้า หลนเต้าหู้ยี้ ฯลฯ ซึ่งปกติแล้วของเหล่านี้ทั้งกลิ่นและหน้าตาอาจจะไม่น่าพิสมัยนัก แต่พอปรุงรสทำนู่นทำนี่ ก็กลับกลายให้มีกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอได้
    
       “กุ๊กเล็ก” เองก็หลงใหลอาหารจานหลนอยู่มิใช่น้อย เพราะนอกจากรสชาติจะถูกลิ้นแล้วยังกินได้กับสารพัดผักอีกด้วย คราวนี้ก็เลยจะชวนแฟนานุแฟนมาทำหลนกัน แต่เพื่อความแปลกใหม่ไม่ซ้ำแนวเดิม จึงขอนำเสนอ “หลนเนื้อเค็ม” ซึ่งรับรองว่าทำได้ง่ายมากๆ ว่าแล้วก็เข้าครัวไปบรรเลงฝีมือทำพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
    
       ส่วนผสม
    
       เนื้อเค็มแดดเดียวทอดหั่นชิ้นบางๆ 1 ขีด
       กะทิสด 1 ถ้วย
       หอมแดง 2-3 หัว
       ตะไคร้หั่นฝอย 1 ต้น
       ใบมะกรูดหั่นฝอย 3-4 ใบ
       น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำปลา 2 ช้อนชา
       พริกขี้หนูสด 4-5 เม็ด

    
       วิธีทำขั้นแรกก็ต้มกะทิสดให้หอม แล้วนำเนื้อเค็มที่ทอดและหั่นชิ้นบางๆ ไปเคี่ยวกับกะทิจนเนื้อนุ่ม จากนั้นใส่ตะไคร้ หอมแดงซอย และใบมะกรูด ลงไปเคี่ยวให้หอมและเข้าเนื้อ ปรุงรสในขณะที่ตั้งไฟ ด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และพริกขี้หนูสดให้ได้รสชาติ เปรี้ยว หวานนำ และเค็มตาม ส่วนความเผ็ดแล้วแต่ชอบ
    
       มีเคล็ดลับในการหลนอย่างหนึ่งว่าควรจะใช้ไฟอ่อนๆ ไม่ใส่กะทิมากเกินไป และในขณะที่หลนก็ต้องสังเกตดูปริมาณกะทิไม่ให้แห้งจนเกินไป แต่ถ้าแห้งก็สามารถที่จะเติมน้ำหรือกะทิเพิ่มลงไปได้ ซึ่งเมื่อกะทิงวดได้ที่ก็โรยใบมะกรูดหั่นฝอยและพริกขี้หนูปิดท้าย พร้อมเสิร์ฟกินกับผักสดต่าง ๆ อย่าง ขมิ้นขาว แตงกวา มะเขือเปราะ และผักกาดหอม แค่นี้ก็เป็นอันว่าได้หลนเนื้อเค็มจานเด็ดแล้ว

“หลนปูเค็ม”

       เคยได้ยินกันบ้างไหมคำที่ว่า เสน่ห์ปลายจวัก ของหญิงไทยที่สามารถผูกมัดใจชายได้ทุกยุคยุคสมัยนั้นคือความเป็นแม่ศรีเรือนอาจจะไม่ต้องทำอะไรเป็นหมดทุกอย่างแค่บ้างอย่างก็ทำให้ชายลุ่มหลงได้นักต่อนักแล้วอย่างการทำอาหารกับ “กุ๊กเล็ก” ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำง่ายได้อร่อยแถมมัดใจชายได้ด้วย
     
       คราวนี้เลยภูมิใจนำเสนอ "หลนปูเค็ม"อาหารที่เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดีรสชาติหวานๆเค็มๆมันๆ เครื่องปรุงก็หาง่ายไม่วุ่นวายอะไรเลย เพียงนำของที่มีอยู่ในครัวมาประยุกต์ก็ได้เมนูเด็ดแล้ว ว่าแล้วก็ชักหิวขึ้นมาตะงิดๆแล้วซิ ลงมือทำกันเลยดีกว่า
     
       เครื่องปรุง
     
       มะพร้าวขูด 300 กรัม
       เนื้อหมูสับละเอียด1/4ถ้วย
       น้ำปลา1ช้อนโต๊ะ
       เกลือป่น1ช้อนชา
       หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาล2ช้อนชา
       น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
       ใบมะกรูดฉีก1-2ใบ
       พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น1เม็ด
       ผักชีเด็ดใบ
       ปูนาดองเค็ม2ตัว
       ผักสด
     
       
วิธีทำ
       
การทำหลนไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด เริ่มจากการนำปูที่ดองเค็มมาล้างให้สะอาด เพื่อชำระความเค็มบางส่วน ออกจากตัวปูไม่ให้เค็มเกินไป จากนั้นนำปูมาหั่นแล้วลวกพอสะดุ้ง แล้วหันมาคั้นมะพร้าวให้ได้ทั้งหัวกะทิและหางกะทิ จากนั้นตั้งกระทะให้ได้ไฟปานกลาง แล้วจึงเทหัวกะทิลงไปหมั่นคนอยู่ตลอดเวลา อย่าให้น้ำกะทิแตกมัน
     
       เมื่อน้ำกะทิเริ่มเดือดจึงใส่หอมแดงซอยลงไป คนให้เข้ากันเมื่อได้ที่แล้ว จึงใส่เนื้อหมูสับละเอียดลงไปคั่วจนหมูสุกได้ที่ เติมหางกะทิลงไปพร้อมปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล เกลือและน้ำมะขามเปียก เคี่ยวจนเดือดใส่ปูเค็มลงไปต้มพอสุกแล้วตักขึ้นใส่ถ้วย จากนั้นโรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้า ใบมะกรูดผักชีฉีกกินคู่กับผักสดตามใจชอบ ยิ่งถ้าได้ข้าวสวยร้อน ๆสักจาน รับรองคนที่ได้ชิมรสมือคุณจะติดใจ

“หอยแมลงภู่ผัดฉ่า”

       เพื่อนของ “กุ๊กเล็ก” เคยถามคำถามแบบขำขำ ว่า “หอยอะไรเอ่ย??? บินได้”
       

       แรกที่ได้ยินคำถามเราก็ยังงงๆ อยู่ว่ามันคือหอยอะไร เพราะที่ผ่านมาเคยแต่ได้ยินคำถามแนวลามกว่า “หอยอะไรเอ่ย???ลอยได้” แต่หอยอะไรบินได้ไม่เคยได้ยิน
     
       แต่พอมัน เฉลยว่า “หอยแมลงภู่” เท่านั้นแหละ เราก็ถึงบางอ้อ เพราะว่าแมลงภู่นั้นบินได้ ก็เลยทำให้หอยแมลงภู่พลอยบินได้ไปด้วย
     
       เออจริงของมันแฮะ แต่ “กุ๊กเล็ก” ขอย้ำว่านี่เป็นคำถามแบบขำขำ(หรือที่บางคนเรี่ยกว่าคำถามปัญญาอ่อนนั่นแหละ) ซึ่งคำถามประเภทนี้ส่วนใหญ่จะฮาเมื่อถามถูกกาลเทศะ และจะฮามากเมื่อใช้ถามในวงเหล้า
     
       งานนี้“กุ๊กเล็ก” เลยถือโอกาสนำเจ้าหอยที่เพื่อนมันบอกว่าบินได้อย่างหอยแมลงภู่มาทำเมนูที่กินกับเหล้าก็เยี่ยมกินกับข้าวก็ยอด อย่าง “หอยแมลงภู่ผัดฉ่า” เสียเลย
     
       สำหรับส่วนประกอบหอยแมลงภู่ผัดฉ่าก็มี
     
       หอยแมลงภู่           1.5         ถ้วยตวง
       พริกขี้หนูสด         10-15       เม็ด(แล้วแต่รสนิยมในการกินเผ็ด)
       กระเทียม                1          หัว
       กระชายหั่นฝอย      1/4         ถ้วยตวง
       พริกไทยอ่อน         1/4         ถ้วยตวง
       ใบกะเพรา              1/2        ถ้วยตวง
       น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย น้ำมันพืช

     
       เมื่อเครื่องปรุงพร้อมก็ให้นำหอยแมลงภู่ไปลวกให้พอสุก จากนั้นแกะเปลือกออกเพียงข้างเดียว แล้วลงมือโขลกกระเทียมกับพริกขี้หนูเข้าด้วยกัน
     
       จากนั้นใช้ไฟแรงตั้งน้ำมันให้ร้อน แล้วใส่พริกกระเทียมลงผัดให้หอม
     
       สุดท้ายส่งหอยแมลงภู่ลงไปผัด แล้วตามด้วย พริกไทยอ่อน กระชาย ใบกะเพรา ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน
       แล้วจึงปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย ตามใจชอบ
     
       เสร็จสรรพยกเสิร์ฟหอยแมลงภู่ผัดฉ่าจานเด็ดรสเผ็ดซ่าน ซึ่งใครจะกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็เยี่ยม หรือใครจะกินกับเหล้ากับเบียร์เย็นๆ ก็ยอดไม่แพ้กัน

หอยนางรมทอดกระเทียมพริกไทย

<><><><>
<>
       สำหรับเมนูกลิ่นอายทะเลในมื้อนี้ก็คือ "หอยนางรมทอดกระเทียมพริกไทย" ที่เป็นเมนูทำง่ายกินง่าย ว่าแล้วเราก็เข้าครัวไปเตรียมส่วนผสมกันดีกว่า
    
       ส่วนผสม
    
       หอยนางรมขนาดใหญ่7-10 ตัว
       พริกไทย 2 ช้อนโต๊ะ
       กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ(หรือตามแต่จะถูกปาก)
       น้ำมันสำหรับทอด
    
       ส่วนวิธีทำก็เริ่มด้วยการนำหอยนางรมตัวใหญ่ไปล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นโขลกกระเทียม และพริกไทยจนละเอียด แล้วจัดแจงผสมน้ำปลากับน้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน คนจนน้ำตาลละลาย นำหอยนางรมมาผสมรวมกันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
    
       เมื่อได้ที่แล้วก็นำลงไปทอดในน้ำมันร้อนไฟกลาง พอให้ออกสีเหลืองแล้วจึงตักขึ้น ใส่จานที่ประดับตกแต่งด้วยมะเขือเทศกับใบผักกาดหอม ให้แลดูน่ากิน เสร็จพิธีแล้วยกเสิร์ฟเป็นกับแกล้มหรือกับข้าวก็อร่อยไม่แพ้กัน และถ้าจะให้เด็ดสุดต้องกินตอนที่กำลังร้อนๆอยู่
    
       งานนี้ทำง่ายกินง่ายแถมยังได้กลิ่นอายทะเลติดอารมณ์มาอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้าวผัดหนำเลี๊ยบ

ข้าวผัดหนำเลี๊ยบ
ส่วนผสม

         ข้าวซ้อมมือหุงสวย 3 ถ้วย  

         เนื้อหนำเลี๊ยบหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ  

         เม็ดข้าวโพดสุก 3/4 ถ้วย  

         ถั่วลิสงต้มสุก 3/4 ถ้วย 

วิธีทำ

         ตั้งกระทะพอร้อนใส่น้ำมัน ใส่เนื้อหนำเลี๊ยบลงผัด (ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน) จนหอม ใส่ข้าวลงผัดให้เข้ากัน แล้วจึงใส่เม็ดข้าวโพดสุก ตามด้วยถั่วลิสงต้มสุก ผัดทั้งหมดให้เข้ากัน ตักขึ้นรับประทานร้อนๆ


Tips 

         เนื้อหนำเลี๊ยบใช้ชนิดเม็ดในกระป๋องและนำมาแกะเนื้อดีกว่าที่มีขายเฉพาะเนื้อ เพราะมักจะเค็มกว่า

         ถั่วลิสงที่ซื้อมาต้มควรเป็นถั่วใหม่ วิธีสังเกตเม็ดจะต้องไม่ลีบและแห้งจะต้มสุกง่ายกว่า และก่อนต้มควรแช่น้ำไว้ข้ามคืนจึงจะต้มสุกง่าย 

ผัดโหง่วก๊วย


ผัดโหง่วก๊วย

ส่วนผสม

         หมี่กึงสดหั่นเป็นชิ้น 3/4 ถ้วย  

         แปะก๊วยต้มสุก 3/4 ถ้วย  

         พุทราจีน 3/4 ถ้วย  

         เห็ดหอมดอกเล็กหรือดอกใหญ่หั่นเป็นชิ้นเล็ก 3/4 ถ้วย  

         แครอทหั่นเป็นชิ้นยาวรี 3/4 ถ้วย  

         เม็ดมะม่วงหิมพานต์โรยหน้า 1/4 ถ้วย  

         ใบโหระพาทอดโรยหน้า 3/4 ถ้วย  

         พริกหวานเม็ดใหญ่หั่นสี่เหลี่ยมเล็กโรยหน้าพอสวย      

         เกลือหรือซีอิ้วขาว      

         น้ำมันงาเล็กน้อย     

วิธีทำ

         1. ลวกหมี่กึง พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ ลวกแครอทจนสุก พักไว้

         2. ล้างพุทราแล้วนำลงเชื่อมในน้ำเชื่อมให้หวานประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ตักขึ้นพักไว้

         3. ตั้งกะทะใส่น้ำมันพอร้อน ใส่ส่วนผสมทุกอย่างที่เตรียมไว้ลงไปผัดรวมกัน เติมน้ำซุปผักเล็กน้อย ปรุงรสด้วยเกลือหรือซีอิ้วขาว แล้วใส่น้ำมันงา ผัดจนทุกอย่างเข้ากัน ตักขึ้นโรยมะม่วงหิมพานต์ ใบโหระพาทอดและพริกหวานสีเขียว และแดง

ข้าวต้มฟองเต้าหู้ เผือก มันเทศ



ส่วนผสม

         ข้าวสาร 1/2 ถ้วย  

         ฟองเต้าหู้แช่น้ำหั่นเป็นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย  

         เผือก มันเทศ อย่างละ 1 ถ้วย  

         เกลือ ซีอิ้วขาว      

         ซอสปรุงรส (ตามชอบ)     

วิธีทำ

         1. ปอกเปลือกเผือก มันเทศ แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม หรือจะใช้ที่ควักผลไม้ควักเป็นลูกกลมๆ ก็ได้

         2. หุงข้าวต้มกับน้ำซุปผัก พอข้าวเริ่มบานใส่ฟองเต้าหู้และเผือกลงไปต้มรวมกัน จนเผือกเริ่มสุก แล้วจึงใส่มันเทศต้มรวมกันจนข้าวสุกบาน เผือกและมันสุก (ขณะต้มถ้าน้ำน้อยเติมน้ำซุปผักได้อีก) ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ้วขาวหรือซอสปรุงรส ตักขึ้นรับประทานร้อนๆ